วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิเคราะห์บทเพลงกับภาพสะท้อนสังคม หนาวแสงนีออน



เนื้อเพลง: หนาวแสงนีออน
มองดาวใสผ่านใจเต็มฝัน คนอยู่ทางบ้านจะรู้หรือเปล่า
คืนนี้มีหนึ่งคนเหงา ฝากคำกับดาวบอกว่ายังห่วง
ในวันที่นกบินแรมทาง โบกปีกคว้างอยู่กลางเมืองหลวง
พกความรู้ต่ำกับดวง ติดตามถามทวงหนทางสร้างฝัน


อยู่ห้องเช่ากินข้าวริมทาง ทำงานรับจ้างได้ตังค์นิดหน่อย
คือความจริงที่ท้าให้ถอย แต่ใจดวงน้อยไม่ยอมไหวหวั่น
ความฝันและคำสัญญา ก่อนหักใจลาบ้านเราวันนั้น
ความหมายไม่เคยแปรผัน ยังเชื่อสักวันฟ้าคงเข้าข้าง


อยู่บ้านเรายามหนาวก็หนาวแค่เพียงกาย
ข้างกองไฟยังมีไออุ่น
กลับจากนายังหอมละมุน กรุ่นดอกราตรีลอยลมข้างทาง
อยู่เมืองหลวงยามเหงาทนหนาวโดยเดียวดาย
ตากแสงไฟนีออนก็ไม่สร่าง
ดั่งเศษดาวลอยในฟ้ากว้าง พรุ่งนี้เส้นทางจะเป็นอย่างไร


หลับตาฝันถึงภาพบ้านเรา ยังเห็นยอดพร้าวไหวในแสงเดือน
ลมหนาวคืนนี้ย้ำเตือน ผ่านอีกหนึ่งเดือนแล้วในเมืองไกล
เฝ้าฝันถึงวันได้ดี มีงานที่ตามวาดหวังไว้
คือวันหนึ่งที่หัวใจ จะหอบรักไปซบอุ่นไอดิน


อยู่บ้านเรายามหนาวก็หนาวแค่เพียงกาย
ข้างกองไฟยังมีไออุ่น
กลับจากนายังหอมละมุน กรุ่นดอกราตรีลอยลมข้างทาง
อยู่เมืองหลวงยามเหงาทนหนาวโดยเดียวดาย
ตากแสงไฟนีออนก็ไม่สร่าง
ดั่งเศษดาวลอยในฟ้ากว้าง พรุ่งนี้เส้นทางจะเป็นอย่างไร


หลับตาฝันถึงภาพบ้านเรา ยังเห็นยอดพร้าวไหวในแสงเดือน
ลมหนาวคืนนี้ย้ำเตือน ผ่านอีกหนึ่งเดือนแล้วในเมืองไกล
เฝ้าฝันถึงวันได้ดี มีงานที่ตามวาดหวังไว้
คือวันหนึ่งที่หัวใจ จะหอบรักไปซบอุ่นไอดิน
คือวันหนึ่งที่หัวใจ จะหอบรักไปซบอุ่นไอดิน

ผู้ประพันธ์ วสุ ห้าวหาญ 
ทำนองดนตรี จิตติพล บัวเนียม
นักร้อง ชลดา หรือชลดา


วิเคราะห์ด้านสังคมของเพลง หนาวแสงนีออน
                เพลงหนาวแสงนีออนเป็นเพลงจากอัลบั้มชุดแรก หนาวแสงนีออนของ ตั๊กแตน ชลดา หรือชลดา ทองจุลกลาง วางแผงเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2549 ได้รับความนิยมไปทั่วบ้านทั่วเมืองส่งผลให้ตั๊กแตน ชลดามีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งผู้ประพันธ์เพลงหนาวแสงนีออน คือ วสุ ห้าวหาญ ศิลปินนักประพันธ์เพลงแนวลูกทุ่งเพื่อชีวิตและแต่งทำนองดนตรีโดย จิตติพล บัวเนียม
                เพลงหนาวแสงนีออนสะท้อนภาพสังคมของชาวชนบทที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงนัก และโดยส่วนใหญ่มีค่านิยมในการเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานครแต่เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็ไม่ได้สบายอย่างที่คิดหากแต่นอกจากความลำบากที่ต้องเผชิญแล้วยังต้องต่อสู่กับสภาพสังคมคนเมืองรวมถึงความรู้สึกคิดถึงบ้านอีกด้วย
ในเพลงนี้พูดถึงความเหงา ว้าเหว่และคิดถึงบ้านของสาวบ้านนอกที่หนีความยากจนเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เกิดความเหงา เหนื่อยล้ากับความเป็นจริงของการใช้ชีวิตในกรุงเทพที่ต้องปากกัดตีนถีบ ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่ออยู่รอด แสงจากหลอดไฟนีออนก็ไม่ช่วยให้อุ่นได้ ทำให้หวนคิดถึงบ้านต่างจังหวัดที่ถึงแม้จะยากจนและลำบากไปบ้างแต่ข้างกองไฟยังมีพ่อแม่ญาติพี่น้องอยู่ด้วยกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน
                เพลงหนาวแสงนีออนเป็นเพลงที่สะท้อนภาพสังคมได้ในหลายๆด้าน อาทิ ด้านค่านิยม ด้านเศรษฐกิจ ด้านธรรมชาติ ด้านวิถีชีวิตและด้านการศึกษา
ด้านค่านิยม สะท้อนค่านิยมของคนต่างจังหวัดที่มักจะเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แม้ในบางครั้งก็ไม่อยากจากบ้านมาแต่เพราะความเชื่อว่าการมาทำงานในกรุงเทพฯจะช่วยให้ลืมตาอ้าปากได้  ในประโยคที่ว่า
“ในวันที่นกบินแรมทาง โบกปีกคว้างอยู่กลางเมืองหลวง พกความรู้ต่ำกับดวง ติดตามถามทวงหนทางสร้างฝัน” และ “คือความจริงที่ท้าให้ถอย แต่ใจดวงน้อยไม่ยอมไหวหวั่น”

ด้านเศรษฐกิจ สะท้อนด้านภาวะทางเศรษฐกิจของคนในชนบทที่เข้าไปทำงานในกรุงเทพฯว่ามีความลำบาก ทำงานเงินเดือนก็ไม่มากนัก ในประโยคที่ว่า  “อยู่ห้องเช่ากินข้าวริมทาง ทำงานรับจ้างได้ตังค์นิดหน่อย”

ด้านธรรมชาติ สะท้อนด้านธรรมชาติของต่างจังหวัด ในประโยคที่ว่า  “หลับตาฝันถึงภาพบ้านเรา ยังเห็นยอดพร้าวไหวในแสงเดือน”

ด้านวิถีชีวิต สะท้อนวิถีชีวิตของชาวชนบท ที่มีการก่อกองไฟผิงไฟกันหนาว วิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับท้องทุ่งนา ในประโยคที่ว่า “ข้างกองไฟยังมีไออุ่น กลับจากนายังหอมละมุน กรุ่นดอกราตรีลอยลมข้างทาง”

ด้านการศึกษา สะท้อนด้านการศึกษาของคนชนบทที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงนัก มักจะเขามาทำงานในกรุงเทพฯเพื่อความอยู่รอด ในประโยคที่ว่า  “ในวันที่นกบินแรมทาง โบกปีกคว้างอยู่กลางเมืองหลวง พกความรู้ต่ำกับดวง ติดตามถามทวงหนทางสร้างฝัน”


 ผลงานนักศึกษา นางสาว ภัทรณรินทร์  กองงาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น